ดาวน์โหลด
ดาวน์โหลด 4shared
พุทธาทิจโจ มะหาเตโช ธัมมะจันโท ระสาหะโร
สังฆะตาระคะโณ เสฏโฐ อัมเห รักขันตุ ปายะโต ฯ
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ
วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร
ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสานัง พุทโธ ภะคะวาติ ฯ
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ พุทโธ วิยะ พุทธะรูปัมปิ มะหาเตชัง
มะหานุภาวัง ภะวะตุ ยาวะ สาสะนัง ฯ
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา
ทานะปาระมีสัมปันโน
ทานะอุปะปาระมีสัมปันโน
ทานะปะระมัตถะปาระมีสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา
สีละปาระมีสัมปันโน
สีละอุปะปาระมีสัมปันโน
สีละปะระมัตถะปาระมีสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา
เนกขัมมะปาระมีสัมปันโน
เนกขัมมะอุปะปาระมีสัมปันโน
เนกขัมมะปะระมัตถะปาระมีสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา
ปัญญาปาระมีสัมปันโน
ปัญญาอุปะปาระมีสัมปันโน
ปัญญาปะระมัตถะปาระมีสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา
วิริยะปาระมีสัมปันโน
วิริยะอุปะปาระมีสัมปันโน
วิริยะปะระมัตถะปาระมีสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา
ขันติปาระมีสัมปันโน
ขันติอุปะปาระมีสัมปันโน
ขันติปะระมัตถะปาระมีสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา
สัจจะปาระมีสัมปันโน
สัจจะอุปะปาระมีสัมปันโน
สัจจะปะระมัตถะปาระมีสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา
อธิษฐานะปาระมีสัมปันโน
อธิษฐานะอุปะปาระมีสัมปันโน
อธิษฐานะปะระมัตถะปาระมีสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา
เมตตาปาระมีสัมปันโน
เมตตาอุปะปาระมีสัมปันโน
เมตตาปะระมัตถะปาระมีสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา
อุเปกขาปาระมีสัมปันโน
อุเปกขาอุปะปาระมีสัมปันโน
อุเปกขาปะระมัตถะปาระมีสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา
ทะสะปาระมีสัมปันโน
ทะสะอุปะปาระมีสัมปันโน
ทะสะปะระมัตถะปาระมีสัมปันโน
นิสสังสะยัง โส โข โน ภะคะวา
สะมะติงสะปาระมีสัมปันโน
สะมะติงสะอุปะปาระมีสัมปันโน
สะมะติงสะปะระมัตถะปาระมีสัมปันโน
บทสวดพุทธาภิเสก ที่พระคณาจารย์ ๔ รูปนั่งสาธยายเจริญพระพุทธมนต์ในพิธีพุทธาภิเสก เทวาภิเสกที่เราได้เห็นกันในยุคสมัยแห่งจตุคามรามเทพ และทั้งก่อนหน้านั้น นับว่าบทสวดนี้เป็นยอดพระพุทธมนต์ที่เป็นสิกขาบทพุทธบริษัท ที่มีความยาวอย่างยิ่ง
ใน แต่ละท้องถิ่น หรือแต่ละวัดก็จะมีบทสวดที่แปลกต่างกันไป เพราะบทสวดพุทธาภิเสกนี้มีหลายฉบับ คัดลอกต่อๆ กันมา มีบางตอน บางช่วงแตกต่างกันบ้าง
ท่านที่เคยได้เห็น ได้ฟังแล้วคิดว่านี้เป็นเพียงบทที่พระท่านสวดในพิธีเพื่อให้เกิดความขลัง ศักดิ์สิทธิ์อำนวยอิทธิผลแก่วัตถุมงคลและแก่ผู้รับวัตถุมงคลนั้นๆ ไป บูชาเท่านั้น
แท้ที่สุดแล้วบทสวดนี้ ท่านโบราณาจารย์ ท่านประดิษฐานไว้ เพื่อให้พุทธบริษัทได้สาธยาย ทรงจำและน้อมนำไปปฏิบัติ
แม้เพียงได้ฟัง ได้สาธยายสวดท่องบ่น จิตใจก็สงบรำงับ แต่เมื่อน้อมนำไปประพฤติปฏิบัติตามแล้ว อิทธิผลเกิดแก่ตนยิ่งมหาศาล
ท่านบอกเล่าถึงพระพุทธคุณ ๙ ประการ (เพื่อให้เรานำไปปฏิบัติ) ดังนี้ –
๑. (อะ) อะระหัง - (ทำใจอย่าให้เศร้าหมอง,ห่างไกลจากกิเลส)
๒. (สัง) สัมมาสัมพุทโธ – (พินิจตรองรู้ให้ได้โดยตนเอง)
๓. (วิ) วิชชาจะระณะสัมปันโน – (ใช้ชีวิตประพฤติตนด้วยความรู้ที่ถูกต้อง)
๔. (สุ) สุคะโต - (คิดเห็นและไปสู่สถานที่ดีๆ)
๕. (โล) โลกะวิทู อะนุตตะโร - (เรียนรู้ความเป็นจริงของโลกให้ได้)
๖. (ปุ) ปุริสะทัมมะสาระถิ - (เป็นผู้นำในการฝึกฝนตนเองและผู้อื่น)
๗. (สะ) สัตถา เทวะมะนุสสานัง - (เป็นเพื่อนเป็นครูให้แก่มนุษย์ด้วยกันและ
เทวดา ไม่กล่าวร้ายทำร้ายซึ่งกัน)
๘. (พุ) พุทโธ - (รู้ ตื่น เบิกบาน เห็นความเป็นจริงๆ ของสรรพสิ่ง
วางใจให้เป็นกลางได้ เท่าทัน ไม่หวั่นไหว)
๙. (ภะ) ภะคะวาติ - (มีส่วนร่วมในการเรียนรู้,ให้การเรียนรู้,
ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกัน)
ต่อมากล่าวถึงพระบารมีที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงบำเพ็ญ เรียกกันว่า
“บารมี ๓๐ ทัศ” เป็นบารมี ๑๐ ประการที่ต้องกระทำให้ยิ่งขึ้น ประการหนึ่ง มี ๓ ระดับ คือระดับต้น ระดับกลางสูงขึ้นมา และระดับสูงสุดเป็นปรมัตถบารมี ดังนี้ –
๑. ทานบารมี - (ให้ แบ่งปัน ด้วยใจยินดีทั้งก่อนให้
ขณะให้และหลังจากได้ให้แล้ว)
๒. ศีลบารมี – (มีระเบียบวินัย ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ กฎหมายของสังคม
ไม่สร้างความขัดแย้ง ไม่เบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่น)
๓. เนกขัมมะบารมี – (ประพฤติปฏิบัติในการสละออกซึ่งอกุศลทั้งปวง)
๔. ปัญญาบารมี – (เรียนรู้ให้เกิดความรู้รอบ รู้แจ้งเห็นจริง
ใช้ความรู้ที่ถูกต้องในการดำเนินชีวิต)
๕. วิริยะบารมี – (พากเพียรในการกระทำความดี สละความชั่วเพื่อทำชีวิต
ให้งาม และมุ่งมั่นในการงานของตน)
๖. ขันติบารมี – (อดทน ต่อสู้ต่ออุปสรรคในแนวทางที่ถูกต้อง)
๗. สัจจะบารมี – (เรียนรู้อยู่กับความเป็นจริง พูดจริง ทำจริง
เห็นความจริงถูกต้อง)
๘. อธิษฐานบารมี – (ตั้งใจมั่นเพื่อเพียรกระทำในสิ่งต้องการ
เพื่อทำชีวิตให้มีสุขและสงบงาม)
๙. เมตตาบารมี – (มีความรัก ปรารถนาดีทั้งต่อตนเองและผู้อื่น)
๑๐. อุเบกขาบารมี – (วางใจเป็นกลาง เฝ้าใคร่ครวญ ระวัง หยุดมองเพื่อที่จัก
เดินไปข้าง เพื่อที่จักได้กระทำในสิ่งต่อไปๆ
ให้ถูกต้อง มีความสุขด้วยธรรม)
หาก เราพุทธบริษัททั้ง ๔ ได้เจริญรอยตามทั้งเจริญคำ เจริญจริยะ รำลึกถึงพระพุทธคุณ รำลึกถึงพระบารมีแห่งพระพุทธองค์ น้อมนำมากระทำไว้ในชีวิตตนเองให้เกิดเป็น “บารมีในตน” จนแก่กล้า “คุณและบารมี” นั้นๆ ก็จักส่งผลให้เราประสพอิทธิผล บังเกิด “ความขลัง ศักดิ์สิทธิ์” ในเชิงประจักษ์แก่ตนเองโดยหาที่สุดประมาณมิได้
เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าและธรรมของพระองค์นั้น เป็น “นิสสังสะยัง” – มีความสงสัยออกแล้ว กล่าวคือ พระพุทธองค์ “หมดความสงสัยใดๆ ทั้งสิ้นแล้ว” และธรรมแห่งพระองค์ไม่ต้องสงสัยแล้ว ทั้งเมื่อเราน้อมนำมาปฏิบัติ เราก็จักเป็น “นิสสังสะยะบุคคล”
ไม่มีความสงสัย ไม่มีความข้องหมองหม่น ดำเนินชีวิตอยู่กับโลกด้วยสุขกายใจ
โดยไม่ต้องลงทุนทางการเงินอย่างมากมาย
|